6.04.2559

Terrible Two เหตุไฉนเธอถึงกลายเป็นวายร้าย


     ช่วงอายุ 2 ขวบ ถือว่าเป็นช่วงที่น่ารักมากกกก พูดคุยสื่อสารรู้เรื่อง สอนอะไรแล้วเรียนรู้ได้ไวและรู้มากขึ้น ทั้ง ABC หรือแม้กระทั่ง ก.ไก่ ถึง ฮ.นกฮูก,สี,รูปทรง
     หรือแม้กระทั่งการสอนเข้าห้องน้ำ,สวัสดีค่ะ,ขอโทษค่ะ ล้วนแต่สร้างความตื่นเต้นและยินดีให้แก่พ่อแม่อย่างเราๆทั้งนั้นที่เห็นว่าเค้ามีพัฒนาการก้าวกระโดดอย่างมาก แต่.....
     พิมกลับพบว่า สารเฟรกลับดื้อขึ้นกว่าเดิมในบางสถานการณ์ซะอย่างงั้น และไม่ใช่ดื้อธรรมดา แต่ทำเอาเราปวดหัวกันเลยทีเดียว
    ปัญหาแรก เริ่มจากการไม่กินข้าวที่ทำเอาพิมเครียดเลยทีเดียว กลัวว่าลูกจะขาดสารอาหาร ซึ่งปัญหานี้เฟรเป็นมาตั้งแต่ตอน 6 เดือนแล้ว คือเธอไม่ค่อยยอมกินข้าว แต่ช่วงนี้หนักกว่าเดิมคือ เธอห่วงเล่นอย่างมาก ชนิดที่ต่อให้เราไม่ให้เธอกินอะไรเลยตั้งแต่เช้ายันเย็น เธอก็อยู่ได้ พิมจึงต้องไปเซิซหาข้อมูลตามเว็บต่างๆ และลองทำเมนูใหม่ๆมานำเสนอเธอเสมอๆ แต่ก็ไม่เป็นผล เธอจะกินได้ดีก็ต่อเมื่อเราพาไปกินนอกบ้านอย่างตามห้าง ตามร้านอาหาร และเมนูส่วนมากก็จะเป็นพวก พิซซ่า หรืออาหารญี่ปุ่นที่เราทำเองไม่ได้(เพราะพิมทำไม่เป็น = =) แต่การจะกินแบบนั้นได้ เราก็ทำได้แค่เฉพาะช่วงวันหยุดเท่านั้น ทำให้วันธรรมดาที่ไม่ได้ออกไปข้างนอกก็ต้องคอยสรรหาวิธีให้เธอกิน ซึ่งยากลำบากมาก
  จนพบว่าปัญหานี้เกิดขึ้นกับเด็กในวัยนี้ถือเป็นเรื่องธรรมดา ในตอนแรกพิมใช้วิธีตามที่หมอบอกคือ เตรียมกับข้าวมาให้เค้าและจับเวลา ถ้าหากว่าเค้าไม่กิน พิมก็จะเก็บไปทิ้งทันที ช่วงแรกๆมันได้ผล พิมจะบอกลูกว่า 'ถ้าไม่กิน คุณแม่จะเอาไปทิ้งแล้วนะ' เค้าจะรีบกุลีกุจอทิ้งของเล่นแล้ววิ่งมากินอย่างน้อยคำสองคำทันที เพราะเค้ารู้ว่าเดี๋ยวเราจะเอาไปทิ้ง (อารมณ์เหมือนงกมากกว่า) พอแผนนี้ไม่ได้ผล พิมก็เปลี่ยนคำพูดมาเป็น 'ถ้าหนูไม่กิน คุณแม่จะเอาไปเททิ้งให้น้องหมาแล้วนะ' เค้าก็จะบอกว่า 'ไม่เอา ไม่ทิ้งให้น้องหมา เฟรจะกิน' แต่ก็เหมือนเดิม คือกินแค่ไม่กี่คำแล้วก็กลับไปเล่นต่อ เรียกว่าไม่เคยนั่งบนโต๊ะอาหารได้เป็นเวลานานเลย และทุกๆวันก็จะมีปฏิกิริยาที่ต่างกัน บางวันก็ยอมกิน บางวันก็ไม่ยอม เหมือนกับอาหารนั้นไม่ถูกปากเค้าๆก็จะไม่กิน
  พอตอนหลังมามุขต่างๆเหล่านี้ก็ใช้ไม่ได้ผลแล้ว พอพิมบอกจะเอาไปทิ้งแล้วนะ เธอจัดแจงยกชามข้าวไปเทเศษอาหารให้เรียบร้อยเลย - - กลายเป็นว่าทุกวันนี้ ถ้ามื้อไหนเธอไม่กิน พิมก็ไม่ว่าไงละ ไม่อยากบังคับ กลัวว่าการกินอาหารแต่ละมื้อจะเคล้าน้ำตา ทำให้เธอเกลียดการกินอาหารไปซะเปล่าๆ เพราะเท่าที่พิมหาข้อมูลมา เค้าบอกว่า เด็กๆในวัยนี้จะห่วงเล่นมากเป็นพิเศษ และความอยากอาหารก็จะลดน้อยลง ดังนั้นเราอย่าไปบังคับให้เค้ากินจะดีกว่า จะกินมาก กินน้อย หรือไม่กินเลย ก็อย่าไปว่าอะไรดีกว่า เพราะด้วยสภาพอากาศเอย บางทีมันก็อาจจะทำให้แม้กระทั่งเราซึ่งเป็นผู้ใหญ่เองก็ยังเบื่ออาหารเลย บางทีเด็กๆก็อาจจะเบื่ออาหารเหมือนกัน
   พอจบปัญหาการกินข้าวแล้ว ก็ตามมาด้วยปัญหา Terrible Two อ้างอิง 1 อ้างอิง 2 อ้างอิง 3 ที่ช่วงนี้เฟรเป็นมาสักพักใหญ่ๆแล้วด้วย T_T ซึ่งปัญหานี้ทำพิมเครียดกว่าเรื่องกินข้าวเอามากๆ
  พิมเป็นคนที่ค่อนข้างเจ้าอารมณ์และโมโหง่ายมาก เวลาเฟรงอแง บางทีพิมก็จะขึ้นเสียงด้วยอารมณ์โกรธเพราะเค้าทำพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม อย่างตีตัวเองหรือลงไปนอนกับพื้น บางทีพิมถึงกับตีเพื่อให้เธอหยุดพฤติกรรมนั้นๆ
 แน่นอนว่าเธอร้องไห้หนักมากทุกครั้ง
 ยกตัวอย่างเรื่องง่ายๆที่แทบจะเจอทุกวันเช่น เรื่องการอาบน้ำ
     เรื่องแรกคือ เฟรกลัวการสระผมมาก เพราะเธอไม่ชอบให้น้ำเข้าตา ในตอนแรกพิมจะอธิบายให้เธอใจเย็นและเข้าใจก่อนว่าเราต้องสระผมนะ ไม่สระผมพวกแมลง(เหา)จะมาขึ้นหัว หนูก็ต้องตัดผมสวยๆของหนูนะ ซึ่งเธอเข้าใจตรงจุดนี้และยอมให้เอาน้ำราดผมแต่โดยดี
   พอถึงเวลาสระแชมพู ก็เอาแชมพูให้ดมว่ามันหอมนะ หอมๆแบบนี้แมลงไม่กล้ามาขึ้นแน่ๆเลย ซึ่งเธอก็ตอบรับด้วยดีและชื่นชอบที่ผมตัวเองสวย หอม
   แต่ปัญหาคือ เวลาล้างฟองแชมพูออกจากผม จะเป็นปัญหาทุกครั้ง เพราะน้ำจะเข้าตา เธอไม่ยอมเงยหน้าแต่ใช้วิธีกอดขาคุณแม่ระหว่างอาบน้ำ จึงทำให้น้ำลงโดนหน้าและเฟรร้องจ้าทุกครั้ง โดยเธอจะบอกว่า 'พอแล้วๆ' แน่นอนค่ะว่าถ้าแค่เราหยุดล้างผมก่อนสักประเดี๋ยว เรื่องก็น่าจะจบแล้ว แต่มันกลับไม่ใช่ เธอตีตัวเอง แม้ว่าพิมจะบอกว่า 'เราพักกันก่อนก็ได้ แต่หนูต้องมาสระผมให้เสร็จนะ เห็นไหมฟองเต็มหัวไปหมดเลย' เธอกลับตีตัวเองและบางทีถึงกับลงไปนอนกับพื้น
   หลายครั้งที่ทำให้พิมโมโหและตวาด บ้างก็ตีเพื่อให้เธอยืนขึ้นเพราะกลัวจะลื่นล้มห้องน้ำ และบอกกับเธอว่าห้องน้ำมันสกปรก ซึ่งเธอก็ยอมยืนจากแรงยกตัวของเราแต่ก็ยังคงตีตัวเองอยู่ดี
  หรือแม้กระทั่งปัญหาเรื่องการชวนไปอาบน้ำ เวลาตอนเช้า พอเธอตื่นนอน พิมก็จะชวนไปอาบน้ำเพื่อจะไปทำกับข้าวหรือซื้ออะไรเข้ามากิน พอได้ยินคำว่าอาบน้ำ เธอก็จะลงไปนอนบนเตียงแล้วตีหน้ามึนเสมอ จนบางทีเวลาเรารีบๆโน้ะ ก็ทำให้พิมต้องอุ้มเธอเข้าห้องน้ำแล้วจับอาบน้ำ ซึ่งแน่นอนว่าร้องจ้าเสียงดังลั่นบ้าน
   ล่าสุด ก็เป็นปัญหาเดิมๆที่เธอตีตัวเองหลังจากสระผม มาวันนี้เธอร้องไห้หนัก เสียงดังและนานมาก พิมไปหาข้อมูลจากหลายๆที่และพบว่าการใส่อารมณ์หรือการตีนั้น มันไม่ดีเอาซะเลย ช่วงนี้เลยพยายามปรับปรุงตัว ทำอารมณ์ตัวเองให้เย็นๆ
  วันนั้นเฟรร้องไห้จากการสระผมและตีตัวเอง พิมพยายามจับมือเธอไว้และบอกว่าอย่าตีตัวเองนะคะ ไม่ดีนะ แต่กลับไม่เป็นผล เธอบอกให้ปล่อยมือและร้องไห้จนลงไปนอนกับพื้นห้องน้ำอีกตามเคย
  พิมเลยเอาผ้ามาห่อเธอไว้แล้วอุ้มไปที่เตียง กลัวว่าเธอจะลื่นล้มห้องน้ำ แล้วเอาผ้าพันตัวในลักษณะห่อตัวไว้เพื่อที่ว่าเธอจะได้ไม่ตีตัวเอง แต่เธอก็ไม่ใช่เบ่บี๋แล้ว แรงเธอเยอะมากดันผ้าออกแล้วก็หนีไปนอนร้องไห้ที่โซนล้างจานต่อ
  พิมเลยปิดทั้งห้องน้ำและโซนล้างจาน เหลือไว้แต่ห้องนอน ซึ่งพิมนั่งรอเธออยู่ และบอกเธอว่า ถ้าเธอหยุดร้องแล้วเราค่อยคุยกัน ทุกครั้งที่พิมหันไป เธอจะลงไปนอนกับพื้นเสมอ พิมจึงใช้วิธีเมิน ไม่คุยด้วย ไม่มอง ไม่สนใจเพื่อให้เธอหยุด
  เธอยื่นเสื้อผ้าที่พิมเตรียมเอาไว้จะใส่ให้เธอหลังอาบน้ำเสร็จและตะคอกบอกว่า 'จะใส่เสื้อ!' พิมก็บอกเธอว่า เราต้องทาแป้งก่อนนะ เดี๋ยวเป็นผื่นแล้วเดี๋ยวเราค่อยมาแต่งตัวกัน แล้วก็เดินไปหยิบแป้งมาเทลงมือ
 ในตอนแรกเธอยอมให้ทา(ในขณะที่กำลังร้องไห้) แต่พอทาปุ้บ ก็โวยวายบอกว่าทำอะไรอะ! แล้วเอาผ้ามาเช็ด พิมก็เลยบอกให้เฟรทาเองแล้วกัน พอทาเอง ผลก็เหมือนเดิม คือโวยวายว่า ทำอะไรอะ แล้วเอาผ้ามาเช็ดเหมือนเดิม ปรากฏว่าวันนั้นก็ใส่ชุดทั้งๆที่ไม่ได้โรยแป้งใดๆเลย และเธอร้องไห้จนอ้วก(เธอเป็นหวัดอยู่)
  หรือเช้าวันนึง เธอตื่นมาด้วยอารมณ์ที่ไม่ดี กระแทกเท้าลงบนเตียงเสียงดังและปาตุ้กตา ขวดนม ขวดน้ำ ทุกอย่างลงปลายเตียง ต้องนั่งอธิบายอยู่นานกว่าจะอารมณ์ดีขึ้น (แค่เลิกโมโห) แต่ก็ไม่ยอมไปเก็บข้าวของที่ตัวเองทิ้งอยู่ดี
 พิมคิดว่าการเมินเฉยต่อพฤติกรรมเวลาที่เค้าเป็นแบบนี้ น่าจะเป็นผลดีมากกว่าการใช้อารมณ์ตาม หรือการตี ช่วงนี้ก็พยายามศึกษาและสังเกตว่าเค้าเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง มันดีรึเปล่าถ้าหากใช้วิธีนี้
เพราะแน่นอน บางคนก็มองว่าทำไมพิมปล่อยให้ลูกร้องไห้ได้ตั้งนานสองนานโดยที่ไม่ทำอะไรเลย บ้างก็มองว่าทำไมลูกร้องไห้แล้วไม่เข้าไปกอดเลยหละ หรือพาไปที่อื่นเปลี่ยนจุดสนใจ แต่พิมมองว่าถ้าหากเราเข้าไปกอด ไปโอ๋ทันที เฟรอาจจะมองว่าการกระทำแบบนี้มันเรียกร้องความสนใจจากผู้ใหญ่อย่างเราๆได้สำเร็จ เค้าก็จะทำอีก (ในมุมมองพิมนะ) ประมาณว่า ถ้าชั้นตีตัวเอง ร้องงอแงเสียงดัง ลงไปดิ้นๆกับพื้นสักหน่อย เดี๋ยวเค้าก็มาโอ๋
หรือการเปลี่ยนจุดสนใจ พาออกไปชมนกชมไม้ให้อารมณ์ดีขึ้น วิธีนี้พิมมองว่ามันดีนะ แต่มันดีกับกรณีที่เราอยู่ข้างนอกมากกว่า อย่างเช่นที่ห้าง หรือที่ๆคนเยอะๆที่เราต้องเกรงใจ เวลาลูกร้องงอแง แต่เฟรไม่เคยร้องงอแงจะเอาของเล่นหรือไปดิ้นกลางห้าง พิมว่าถ้าเป็นแบบนั้นเราชวนไปดูอย่างอื่นหน่ะ มันเข้าท่า แต่ถ้าอยู่กับบ้าน เราควรสอนให้เค้าจัดการอารมณ์ในทางที่ถูกต้อง คุยกันด้วยเหตุผลจะดีกว่ารึเปล่า? พิมคิดว่าเฟรก็รู้นะ อย่างเมื่อกี้เลยสดๆร้อนๆก่อนพิมจะมาพิพม์บทความ เฟรร้องไห้จะขอกินนม เธอจะรู้เสมอว่า 'กล่องเดียวพอนะ' แปลว่าให้กินนมแค่กล่องเดียวแล้วเตรียมนอนได้แล้วนะ เพราะพิมไม่อยากให้ลูกกินเยอะ จะสอนเค้าแบบนี้เสมอ(เอาจริงๆก็ได้บ้างไม่ได้บ้างเรื่องกินนมกล่องเดียวก่อนนอน แต่ก็ให้เค้ารู้ไว้ถึงการจำกัดปริมาณในการกิน) ทีนี้ 4โมงครึ่ง ซึ่งมันเย็นมากแล้ว เลยเวลาที่จะนอนกลางวันแล้ว เฟรมาขอพิมกินนมนอน พิมบอกเค้าว่า 'ไม่ได้นะ เดี๋ยวได้เวลากินข้าวแล้วนะลูก' ซึ่งก็ดูเหมือนเค้าจะเข้าใจดี แต่ก็มีบ้างที่เห็นนม(เพราะนมวางอยู่บนโต๊ะ ไม่ได้เก็บ) เค้าก็จะบอกว่า 'กินนมหน่อย' แต่ก็มีประโยคเสริมขึ้นมาว่า 'ไม่กินหรอก เดี๋ยวจะกินข้าวแล้ว' ซึ่งบางครั้งเฟรก็ร้องไห้ (เหมือนรู้ว่าทำไมกินไม่ได้แต่ก็อยากกิน) ซึ่งดูเหมือนเธอจะเข้าใจมากขึ้น เพียงแต่แค่ไม่รู้วิธีแสดงออกทางอารมณ์มากกว่าว่าควรแสดงยังไง เลยออกมาในแนวทางตะคอกหรือโกรธซะเป็นส่วนใหญ่ พิมคิดว่าวิธีนี้น่าจะเวิร์ค คือเมินเวลาที่เธอทำพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม (ตีตัวเอง/นอนดิ้นกับพื้น/ตะคอก) เพื่อว่าเธอจะได้เข้าใจว่าทำแบบนี้ แล้วไม่ถูกนะ ทำแล้วจะไมไ่ด้ในสิ่งที่เธอต้องการนะ แล้ว(เผื่อ)จะเลิกไปเอง